วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
ประวัติส่วนตัว
ชื่อเด็กหญิงอรอุมา พูลชาติ เลขที่ 13 ม.3/5
เกิดวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2540
อายุ 15 ปี กรุ๊ปเลือด B
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 29 หมู่ 7 ตำบลนาจิก อำเภอ เมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
โทรศัพท์ 0868794143
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
วันแม่แห่งชาติ
คำว่า แม่ อาจจะเป็นคำสั้นๆแค่สองสามคำ
แต่ความหมายของคำว่าแม่ ยิ่งใหญ่นัก
แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้า แม่คือผู้ให้กำเนิดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเกิดมามีชีวิตเพราะน้ำนมของแม่ ข้าพเจ้าเกิดมาได้เพราะคำว่า แม่ และแม่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักทำความดี ไม่ให้ทำความชั่ว
ให้รู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ
คอยตักเตือนและให้อภัยในยามที่ข้าพเจ้าทำผิด ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของแม่และยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
คือไม่มีอะไรมาเปรียบค่าน้ำนมและความรักของแม่
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มหาศาล
ไม่มีอะไรทดแทนได้
ถ้าไม่มีแม่ข้าพเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้
แม่ต้องอุ้มท้องข้าพเจ้ามา
๙ เดือน ไปไหนมาไหนก็ลำบาก
ต้องระวังไม่ให้ลูกระทบกระเทือนทั้งเมื่อยและเหนื่อย แต่ก็คุ้มที่ลูกออกมาปลอดภัย ความรักของแม่เปรียบเสมือนน้ำทะเล ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล แม่ดูแลลูกตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย แม่ดูแลลูกขนาดยุงสักตัวก็ไม่ให้กัด ป้อนข้าวให้นม
ดูแลไม่เคยห่างตลอดมา
ดูแลลูกตั้งแต่เล็กจนโตไม่คิดที่จะท้อหรือถ้อย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
อายุของข้าพเจ้าย่างจะเข้า ๑๕
ปีแล้ว และยังมีพี่สาวอีก๔ คน กับพี่ชายอีก ๑ คน
แต่แม่ของข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูข้าพเจ้ากับพี่ๆได้ โดยไม่คิดที่จะบนสักคำว่าเหนื่อย
จะมีบางครั้งที่ข้าพเจ้าทำให้แม่เสียใจ
แต่แม่ก็โกรธไม่นานก็หายแล้ว
ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เดมาเป็นลูกของแม่และมีครอบครัวที่อบอุ่นอย่างนี้ได้ ก็เพราะมีแม่คอยสั่งสอน
สักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณท่าน
โดยการตั้งใจเรียนหนังสือและได้ทำงานดีๆ
เพื่อที่จะเลี้ยงดูแม่ในยามแก่เฒ่า
ให้เท่ากับที่แม่ได้เลี้ยงดูข้าพเจ้า
ไม่มีพระคุณใดในโลกนี้ที่จะเท่าพระคุณของแม่ น้ำนมหนึ่งหยดที่เข้าสู่ร่างกายข้าพเจ้า มันมีคุณค่ามหาศาล ข้าพเจ้าจะต้องจำอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณท่าน ถึงแม้ในวันนี้ข้าพเจ้ายังตอบแทนไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องทำให้ได้
ตอนนี้หน้าที่ของข้าพเจ้าคือเรียนหนังสือ
และตั้งใจเรียนให้สูง
เพื่อให้แม่แม่สมหวัง
ข้าพเจ้ายังไม่รู้เลยว่า ถ้าข้าพเจ้าขาดแม่ไปสักคน ข้าพเจ้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าอยากจะขอดุอาร์จากอัลลอฮ(ซ.บ) ให้แม่อยู่กับข้าพเจ้านานๆ ถึงแม้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องเกิด แก่
เจ็บ ตาย
เป็นสิ่งที่เราเองกำหนดไม่ได้ก็ตาม
แม่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ไม่มีวันไหนที่ข้าพเจ้าจะลืมแม่ ข้าพเจ้ารักแม่ทุกวัน และจะรักอย่างนี้ตลอดไป (อินชาอัลลอฮ)
สตรีใดให้กำเนิดเกิดมนุษย์ โลกสมมุตินามนิยมไว้คมสันต์
เรียกว่า แม่
มาตั้งแต่แรกที่แบกครรภ์
คอยผูกพันรักลูกเหนืออื่นใด
จากวันนั้นลุกเติบใหญ่ในวันนี้
แม่คอยชี้นำทางที่สดใส
แม่รักลูกดั่งชีวิตและจิตใจ หวังเพื่อให้ลูกมีสุขทุกคืนวัน
พระคุณใดไหนหล้าจะมาเทียบ
ไม่อาจเปรียบพระคุณของแม่ฉัน
ระลึกถึงพระคุณแม่อยู่ทุกวัน
ชั่วชีวันแทนทดไม่หมดเอย...
คำกลอนบทนี้
ข้าพเจ้าได้มาจกหนังสือเล่มหนึ่ง
ซึ่งข้าพเจ้าได้อ่านมาเป็นคำกลอนที่ข้าพเจ้าชอบมาก ข้าพเจ้าจึงได้เขียนลงในเรียงความบทนี้ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าหวังว่าถ้าใครได้อ่านแล้วคงจะชอบเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง
ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
ตลอดช่วงฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้
โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา"
ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า "ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด
สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่
1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้
นอกจากนี้หากระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษา นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา...
อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น พร้อมฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา"
ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า "ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด
สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่
1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้
นอกจากนี้หากระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษา นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา...
อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น พร้อมฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง
วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555
4.1 ให้นักเรียนเขียนโปรแกรมรับชื่อ นามสกุล เมื่อรับชื่อและนามสกุลแล้วให้แสดงกล่องตอบโต้ ทักทายว่าสวัสดี ตามด้วยชื่อที่รับมา
<html>
<head>
<script language="javascript">
<!--
var n;
var s;
n=prompt("input Your Name");
s=prompt("input Your S_name");
alert("Hello "+n +s);
</script>
</head>
</html>
4.2 ให้นักเรียนเขียนโปรแกรมหาพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า และแสดงผลการหาค่าทางกล่องตอบโต้
<html>
<head>
<script language="javascript">
<!--
var w;
var h;
w=prompt("please fill in the width");
h=prompt("please fill in the height");
alert("Area of a rectangle = "+w*h );
</script>
</head>
</html>
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)